เป็นประเพณีที่พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวัชรีวงศ์ (พระองค์ขาว) เป็นผู้ริเริ่มฉะนั้นในการร้องเพลงรำพาข้าวสารจึงเริ่มต้นด้วยชื่อของพระองค์เป็นการแสดงความคารวะให้เกียรติ
การรำพาข้าวสาร จะเริ่มกระทำเมื่อออกพรรษาแล้วซึ่งชาวพุทธทั่วไปจะนิยมทำการทอดกฐิน และทอดผ้าป่าตามวัดต่าง ๆถ้าวัดใดยังไม่มีคนจองกฐิน หรือยังไม่ได้ทอดกฐิน ชาวบ้านก็จะช่วยกันจัดกฐินไปทอดโดยจัดเป็นรูปกฐินสามัคคี
การทอดกฐินสามัคคีจะมีการออกเรี่ยไรหรือบอกบุญไปยังชาวบ้าน โดยไม่ได้เจาะจง หรือกะเกณฑ์มากน้อยเท่าไรแล้วแต่จะให้จึงจัดให้มีการร้องเพลงทำนองเชิญชวนให้ทำบุญเรียกการเรี่ยไรนี้ว่า รำพาแลกข้าวสารโดยจะมีบุคคลคณะหนึ่งทั้งหญิงชายประมาณ ๒๐ – ๓๐ คนพอตกค่ำก็จะลงเรือขนาดใหญ่ที่จุคนได้มาก ในเรือจะมีกระบุงและกระสอบสำหรับใส่ข้าวสาร และจัดให้คนแก่คนหนึ่งนุ่งขาวห่มขาวนั่งอยู่กลางลำเรือเป็นประธาน ส่วนคนอื่น ๆ จะนั่งริมกราบเรือเพื่อช่วยกันพายและมีคนคัดท้ายเรือที่เรียกว่า ถือท้ายเรือหนึ่งคน ทุกคนจะพายพร้อม ๆกันเหมือนกับการพายในการแข่งเรือ
เมื่อเรือจอดถึงบันไดของบ้านใดบ้านหนึ่ง คนในเรือก็จะร้องเพลงโดยมีต้นเสียงหรือแม่เพลง ร้องนำว่า
"เจ้าขาวลาวระลอกเอย มาหอมกอดดอกเอ๋ยลำใย แม่เจ้าประคุณพี่เอาส่วนบุญมาให้"
แล้วทุกคนจะร้องรับพร้อมกันว่า"เอเอ หล่า เอ่ หลา ขาว เอย"
จากนั้นก็ร้องเรื่อยไปการร้องเป็นทำนองเชิญชวนให้ทำบุญร่วมกัน เมื่อเจ้าของบ้านได้ยินเสียงเพลงก็เอาขันตักข้าวสารมาให้ที่เรือแล้วยกมือไหว้เป็นการอนุโมทนาด้วยคณะรำพาข้าวสารก็จะให้ศีลให้พร เป็นเพลงให้เจ้าของบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ทำมาค้าขึ้นมีเพลงว่าดังนี้
"ทำบุญกับพี่แล้วเอยขอให้ทรามเชยมีความสุข นึกถึงเงินให้เงินมากอง นึกถึงทองให้ทองไหลมา เอ่ เอ เอ้หล่า เอ หล่า ขาว เอย"
เมื่อร้องเพลงให้พรเสร็จแล้วคณะรำพาข้าวสารก็จะพายเรือไปแวะบ้านอื่นต่อ ๆ ไป
การำพาข้าวสารจะเริ่มตั้งแต่หนึ่งทุ่มไปจนถึงเที่ยงคืน จึงเลิกและพากันกลับบ้านในคืนต่อไปก็จะไปรำพาในที่อื่น จนกว่าจะเห็นว่าข้าวของที่ได้มาพอจะทอดกฐินแล้วจึงยุติ